ในโลกของการตลาดออนไลน์ที่เต็มไปด้วยคำศัพท์ชวนสับสน SEO (Search Engine Optimization) และ SEM (Search Engine Marketing) คือสองคำที่คุณจะได้ยินบ่อยที่สุด และมักจะถูกพูดถึงควบคู่กันเสมอ
และถึงแม้ SEO (Search Engine Optimization) และ SEM (Search Engine Marketing) มักจะถูกพูดถึงควบคู่กันเสมอ แม้จะมีตัวอักษรคล้ายกันและเกี่ยวข้องกับ Search Engine เหมือนกัน แต่ทั้งสองกลยุทธ์นี้มีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง และมีบทบาทสำคัญในการดึงดูดผู้เยี่ยมชม (Traffic) เข้าสู่เว็บไซต์ของคุณ วันนี้เราจะมาทำความเข้าใจความแตกต่าง ข้อดี ข้อเสีย และวิธีเลือกใช้กลยุทธ์ทั้งสองอย่างชาญฉลาด
ลองนึกภาพว่าคุณกำลังปลูกต้นไม้ SEO ก็คือการบำรุงดิน รดน้ำ พรวนดิน ให้ต้นไม้เติบโตแข็งแรงตามธรรมชาติ จนผลิดอกออกผลเองโดยที่คุณไม่ต้องไปซื้อผลไม้จากที่อื่นเลย
SEO คืออะไร?
SEO คือ กระบวนการปรับแต่งเว็บไซต์และเนื้อหาต่างๆ เพื่อให้ติดอันดับต้นๆ บนผลการค้นหาของ Search Engine อย่าง Google แบบ "ออร์แกนิก" หรือ "ไม่เสียเงินค่าโฆษณา" เมื่อมีคนค้นหาคำ (Keyword) ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ เว็บไซต์ของคุณก็จะปรากฏขึ้นมาในส่วนของผลการค้นหาทั่วไป (Organic Search Results)
วิธีการทำงานของ SEO
Google จะมี Bot คอยเข้ามาเก็บข้อมูล (Crawl) เว็บไซต์ต่างๆ ทั่วโลก จากนั้นนำไปจัดอันดับ (Index) ตามความเกี่ยวข้องและคุณภาพของเนื้อหา เพื่อแสดงผลลัพธ์ที่ดีที่สุดแก่ผู้ใช้งาน การทำ SEO จึงเป็นการปรับปรุงเว็บไซต์ให้ Google Bot "เข้าใจ" และ "ชอบ" เว็บไซต์ของเรามากขึ้น ทั้งในแง่ของ
- On-Page SEO การปรับแต่งเนื้อหาภายในเว็บไซต์ เช่น การใช้ Keyword ในบทความ, หัวข้อ (Heading), Meta Description, รูปภาพ, โครงสร้างลิงก์
- Off-Page SEO การสร้างลิงก์จากภายนอก (Backlinks) ที่มีคุณภาพกลับมายังเว็บไซต์ของเรา เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ
- Technical SEO การปรับโครงสร้างทางเทคนิคของเว็บไซต์ เช่น ความเร็วในการโหลด, การรองรับมือถือ (Mobile-Friendly), โครงสร้างเว็บไซต์ที่ Bot เข้าใจง่าย
ข้อดีของ SEO
- Traffic คุณภาพสูงและยั่งยืน ผู้ที่ค้นหาผ่าน Google มักมีความต้องการชัดเจนอยู่แล้ว และเมื่อติดอันดับได้ Traffic จะเข้ามาอย่างต่อเนื่องโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายรายวัน
- สร้างความน่าเชื่อถือ เว็บไซต์ที่ติดอันดับต้นๆ มักถูกมองว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญและมีความน่าเชื่อถือสูง
- ต้นทุนต่ำในระยะยาว แม้จะต้องลงทุนแรงและเวลาในการทำ แต่เมื่อติดอันดับแล้ว แทบไม่ต้องจ่ายค่าโฆษณาเลย
- โอกาสเข้าถึงลูกค้าจำนวนมาก หาก Keyword ที่ทำ SEO มีปริมาณการค้นหาสูง
ข้อเสียของ SEO
- ใช้เวลา การเห็นผลต้องใช้เวลาอย่างน้อย 3-6 เดือน หรืออาจจะนานกว่านั้น ขึ้นอยู่กับความยากของ Keyword และการแข่งขัน
- ไม่มีอะไรแน่นอน Algorithm ของ Google เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ทำให้ต้องคอยปรับปรุงและอัปเดตอยู่ตลอด
- การแข่งขันสูง โดยเฉพาะใน Keyword ที่มีมูลค่าสูง การแข่งขันเพื่อแย่งชิงอันดับเป็นไปอย่างดุเดือด
ถ้า SEO คือการปลูกต้นไม้ SEM ก็คือการซื้อผลไม้จากตลาดมาขายทันที ทำให้คุณมีผลไม้พร้อมขายได้เลยโดยไม่ต้องรอ
SEM คืออะไร?
SEM คือ การทำการตลาดผ่าน Search Engine ด้วยการ "ซื้อโฆษณา" เพื่อให้เว็บไซต์ของเราไปปรากฏอยู่ในตำแหน่งที่โดดเด่นบนหน้าผลการค้นหา โดยส่วนใหญ่จะเป็นรูปแบบ Pay-Per-Click (PPC) ซึ่งหมายความว่าคุณจะจ่ายเงินก็ต่อเมื่อมีคนคลิกโฆษณาของคุณเท่านั้น แพลตฟอร์มที่นิยมที่สุดคือ Google Ads
วิธีการทำงานของ SEM (Google Ads)
คุณจะต้องประมูลราคา Keyword ที่ต้องการ เมื่อมีผู้ใช้ค้นหา Keyword นั้นๆ โฆษณาของคุณก็จะถูกนำไปแสดง ซึ่งตำแหน่งโฆษณามักจะอยู่เหนือผลการค้นหาแบบออร์แกนิก หรืออยู่ด้านข้างและด้านล่าง ผู้ลงโฆษณาที่มีคะแนนคุณภาพ (Quality Score) ดีและประมูลได้ในราคาที่เหมาะสมก็จะได้ตำแหน่งที่ดีที่สุด
ข้อดีของ SEM (Google Ads)
- เห็นผลรวดเร็ว โฆษณาของคุณสามารถปรากฏบนหน้าแรกได้ภายในไม่กี่นาทีหลังจากเปิดแคมเปญ
- ควบคมงบประมาณได้ คุณสามารถกำหนดงบประมาณรายวัน/รายเดือน และควบคุมค่าใช้จ่ายได้อย่างแม่นยำ
- กำหนดกลุ่มเป้าหมายได้ละเอียด สามารถกำหนดเป้าหมายโฆษณาตาม Keyword, สถานที่, ภาษา, ช่วงเวลา, อุปกรณ์, หรือแม้แต่พฤติกรรมการใช้งาน
- ทดสอบและปรับปรุงได้ง่าย สามารถทดสอบข้อความโฆษณา, Keyword, หรือ Landing Page เพื่อหาชุดที่ได้ผลลัพธ์ดีที่สุด
- เหมาะกับการโปรโมทโปรโมชั่น หรือสินค้าใหม่ ที่ต้องการยอดขายอย่างรวดเร็ว
ข้อเสียของ SEM (Google Ads):
- มีค่าใช้จ่ายตลอดเวลา เมื่อคุณหยุดจ่ายเงิน โฆษณาก็จะหยุดแสดงทันที
- การแข่งขันสูง ใน Keyword ยอดนิยม ค่าใช้จ่ายต่อคลิกอาจสูงมาก ทำให้งบประมาณหมดไว
- ต้องมีความรู้ในการบริหารแคมเปญ หากไม่มีความรู้เพียงพอ อาจทำให้เสียเงินไปโดยเปล่าประโยชน์
สำหรับธุรกิจเริ่มต้นหรือต้องการผลลัพธ์ด่วนรับทำเว็บไซต์ ของคุณเริ่มต้นด้วย SEM (Google Ads) เพื่อดึง Traffic และยอดขายทันที ในขณะเดียวกันก็วางแผนและเริ่มทำ SEO ไปพร้อมๆ กัน เพื่อผลลัพธ์ที่ยั่งยืนในอนาคต
- สำหรับธุรกิจที่มีงบจำกัดและเน้นระยะยาว เน้นไปที่ SEO เป็นหลัก สร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพอย่างสม่ำเสมอ อาจใช้ SEM ในช่วงสั้นๆ เมื่อต้องการโปรโมทพิเศษ
- สำหรับธุรกิจที่ต้องการครอบคลุมทุกโอกาส ใช้ทั้ง SEO และ SEM ร่วมกัน เพื่อให้เว็บไซต์ของคุณปรากฏทั้งในส่วนของโฆษณาและผลการค้นหาออร์แกนิก ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงลูกค้าได้อย่างสูงสุด
ไม่ว่าคุณจะเลือก SEO, SEM หรือทั้งสองอย่าง สิ่งสำคัญคือการเข้าใจเป้าหมายของธุรกิจ กลุ่มเป้าหมาย และงบประมาณที่มี เพื่อให้คุณลงทุนได้อย่างคุ้มค่าและนำพา Traffic คุณภาพเข้ามายังเว็บไซต์ของคุณได้อย่างยั่งยืนครับ